Background



ข่าวประชาสัมพันธ์
ประชาสัมพันธ์ ความปลอดภัยในการสัญจรด้วยจักรยาน
27 กรกฎาคม 2558

852


1.  เคารพและปฏิบัติตามกฎจราจร  คนที่ได้เคยสอบเพื่อขออนุญาตมีใบขับขี่รถยนต์ควรจะได้รับรู้กฎจราจรมาแล้ว หากยังไม่ได้เรียนรู้อย่างเป็นระบบจริงจังก็ไปหามาอ่านได้ง่ายๆ จากอินเตอร์เน็ต  จักรยานอยู่ใต้กฎหมายที่กำกับการใช้ถนนให้เป็นระเบียบฉบับเดียวกับยานพาหนะอื่น มีทั้งกฎทั่วไป  เช่น การปฏิบัติตามป้ายและไฟสัญญาณจราจรอย่างเคร่งครัด  ดังนั้นคนที่ใช้จักรยานก็ต้องหยุดเมื่อมีสัญญาณไฟแดงเช่นเดียวกับพาหนะอื่นๆ  และจอดหยุดอยู่หลังเส้นขาวหนาที่ทาไว้บนพื้นด้วย เพื่ออำนวยความสะดวกให้คนที่ข้ามถนน และให้ปลอดภัยจากรถที่แล่นในทิศทางที่ตัดกัน  และกฎเฉพาะสำหรับจักรยาน ซึ่งส่วนหนึ่งจะกล่าวในข้อต่อๆ ไป

2. ขี่ตามทิศทางจราจรร่วมไปกับพาหนะอื่นๆยกเว้นแต่เป็นถนนที่มีการอนุญาตให้ขี่จักรยานย้อนทิศทางจราจร หรือที่เรียกกันว่า “ย้อนศร” ได้ เช่น ถนนที่ให้เดินรถทางเดียวบางสายอนุญาตให้ขี่จักรยาน(หรืออาจจะจักรยานยนต์ด้วย)ย้อนทิศทางได้  ในกรณีนี้ก็ควรขี่สวนไปชิดขอบถนนทางด้านคนขับรถ (ในไทยจะเป็นด้านซ้ายเพราะคนขับรถจะนั่งอยู่ด้านขวา) เพื่อให้คนขับรถเห็นชัดๆ กะระยะผ่านเมื่อสวนกันได้ดี

3. มีไฟส่องสว่างด้านหน้าและหลังเมื่อขี่ยามค่ำคืนคนขับรถจะมองเห็นจักรยานและคนขี่ได้ยากในเวลากลางคืน จึงต้องมีไฟหรือแถบสะท้อนแสง  พ.ร.บ.การจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ระบุว่ารถจักรยานต้องติดไฟส่องสว่างสีขาวด้านหน้า และไฟสีแดงหรือกระจกสะท้อนแสงสีแดงด้านหลัง  นอกจากนั้นการสวมใส่สายคาดหรือเสื้อกั๊กที่มีแถบสะท้อนแสงเพิ่มเติมเข้าไปก็ช่วยได้มากในการทำให้คนขับรถเห็นผู้ขี่จักรยานได้ชัดจากระยะไกลในยามค่ำคืน

4. มีอุปกรณ์ให้สัญญาณที่เหมาะสม   พ.ร.บ.การจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ยังระบุด้วยว่า รถจักรยานต้องมีกระดิ่งเพื่อให้สัญญาณบอกว่าจักรยานกำลังเคลื่อนเข้าไปในทิศทางนั้น  อาจใช้แตรก็ได้ แต่ควรเลือกแตรที่เหมาะสม ไม่ส่งเสียงดังเกินไป (อย่าใช้แตรรถยนต์หรือรถบรรทุก) จนทำให้คนตกใจหรือก่อความรำคาญ เป็น “มลพิษทางเสียง” บางครั้งการร้องบอกเสริมการใช้กระดิ่ง เช่น “ขอทางด้วยครับ” “จะแซงไปทางขวานะครับ” ก็ช่วยได้มาก เมื่อมีเสียงดังมากจากถนน และเมื่อได้ทางหรือผ่านแล้วก็ควรแสดงการขอบคุณ อาจจะด้วยวาจาหรือการก้มหัวให้ จะช่วยให้เกิดความรู้สึกที่ดีแก่ผู้ที่ให้ทาง โอกาสหลังเขาก็จะยินดีให้ทางอีก

5. ให้สิทธิในการใช้ทางเท้าแก่คนเดินเท้า  กฎจราจรไทยห้ามขี่จักรยานบนทางเท้า แต่ตำรวจมักอนุโลมให้ เนื่องจากรถจักรยานเป็นพาหนะขนาดเล็กและมีความเร็วไม่มาก  อย่างไรก็ตาม ปกติเราควรขี่บนถนน หลีกเลี่ยงการขี่บนทางเท้า  นอกจากมีการทาสีตีเส้นหรือแบ่งพื้นที่ให้จักรยานใช้บนทางเท้าอย่างชัดเจน  ไม่ว่าจะในกรณีใด เราต้องระมัดระวังเป็นพิเศษและใช้ความเร็วต่ำเมื่อขึ้นไปขี่บนทางเท้า หากตกอยู่ในสภาพที่หลีกกันไม่ได้ก็ต้องให้คนเดินเท้าได้สิทธิใช้เดินไปก่อนเสมอ  ในการข้ามถนนตรงทางข้ามเช่นกัน  และในกรณีที่มีคนเดินเท้าหนาแน่น หากเอาจักรยานขึ้นมาบนทางเท้าหรือทางข้ามก็ควรลงจากจักรยานและจูงจักรยานเดินไป

6. ระวังรถที่จอดอยู่  สังเกตและระมัดระวังรถที่จอดอยู่ให้ดี  คนที่นั่งอยู่ในรถอาจเปิดประตูออกมาหรือคนขับอาจจะขับรถพุ่งออกมาอย่างฉับพลัน  ถ้าเป็นไปได้ ควรขี่แซงหรือขนานไปกับแถวรถที่จอดอยู่ห่างออกมาอย่างน้อย 1 เมตร

7. อย่าเกาะรถที่กำลังแล่นอยู่ข้างหน้า  การใช้มือเกาะรถที่แล่นอย่างหน้าให้ช่วยลากเรากับจักรยานไปด้วยเพื่อผ่อนแรง เป็นสิ่งที่อันตรายมาก ทั้งผิดกฎจราจร อย่าทำเด็ดขาด

8.  อย่าบรรทุกน้ำหนักมากเกินไป เราต้องตระหนักว่า การใช้จักรยานบรรทุกของหนักๆ ไม่ว่าจะเป็นการขี่คนเดียวขนของ หรือการที่พ่อแม่หรือพี่ให้ลูกหรือน้องซ้อนท้ายหรือซ้อนหน้า เพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดอันตราย หากจะทำก็ต้องแน่ใจว่ามีทักษะในการขี่จักรยานเพียงพอและใช้ความระมัดระวังมากขึ้นเป็นสองเท่าสามเท่าของการขี่คนเดียว   ความจริง พ.ร.บ.การจราจรทางบกได้ห้ามการขี่เกินหนึ่งคนไว้ด้วย

9.  ตรวจเบรกเสมอ  สิ่งที่ควรทำทุกครั้งก่อนขี่จักรยานออกมาตามถนนคือ การตรวจลมยางว่ามีเพียงพอ และการตรวจเบรกว่าจะใช้การได้ดีทั้งเบรกหน้าและเบรกหลัง โดยเฉพาะเมื่อเส้นทางที่ขี่ไม่ราบเรียบ มีหลุมบ่อ  เนินหรือสะพาน  และใช้ความระมัดระวังมากขึ้นเป็นพิเศษเมื่อถนนเปียก เพราะถนนจะลื่นมากขึ้น เบรกได้ยากขึ้น รถจักรยานอาจปัดหรือลื่นไถลได้ ควรใช้เบรกทั้งสองควบคู่กันไปเสมอ

10. ระมัดระวังเมื่อมาถึงทางแยก  ไม่ว่าจะเป็นจุดที่ซอยหรือถนนรองมาพบถนนใหญ่ สามแยก  สี่แยก หรือห้าแยก (ไม่เคยเห็นมากกว่าห้าแยก) ให้ระมัดระวังเพิ่มขึ้น เพราะมีรถมาก การจราจรจะสับสนวุ่นวายหากจัดช่องจราจรไม่ดีหรือคนขับไร้วินัย เห็นแก่ตัว ไม่เอื้ออาทร ไม่เคารพระบบจราจร ทำให้โอกาสเสี่ยงที่จะเกิดการชนกันสูงขึ้นมาก  ขี่จักรยานให้อยู่ในช่องทางจราจรที่ถูกต้องสำหรับการแล่นตรงไปหรือการเลี้ยว ใช้สัญญาณมือช่วยบอกทิศทางของเราให้ชัดเจนขึ้น  มองรอบด้านให้ดีก่อนเปลี่ยนทิศทางหรือย้ายช่องจราจร  หากไม่มั่นใจและพิจารณาว่ามีความเสี่ยงสูง ลงจากจักรยานและเข็นข้ามในแบบเดียวกับคนเดินเท้าปลอดภัยดีกว่า

11. ใช้สัญญาณมือ  เรียนรู้สัญญาณมือในการบอกให้ผู้ใช้ถนนอื่นรู้ว่าเราจะเคลื่อนที่ไปอย่างไร และฝึกทักษะให้สามารถขี่จักรยานโดยใช้มือเดียวจับแฮนด์และอีกมือ-แขนให้สัญญาณได้ถูกต้องอย่างคล่องแคล่ว โดยที่รถจักรยานทรงตัวได้ดี จากนั้นก็ใช้สัญญาณมือให้เป็นนิสัย ไม่ว่าการจราจรจะเป็นเช่นไร รวมทั้งเมื่อเราขี่จักรยานอยู่คันเดียว ไม่มีรถอื่นก็ตาม

12. อย่าขี่ฉวัดเฉวียน การขี่ออกซ้ายออกขวาอย่างฉับพลันหรือเปลี่ยนทิศทางอย่างกะทันหันเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดการชนเป็นอันตราย    ตามธรรมดา เราควรขี่ใกล้ขอบถนน (แต่อย่าชิดมากเกินไป ถ้าทำได้ หากมาสักหนึ่งเมตรกำลังเหมาะ) แต่ถ้ามีรถจอดเป็นระยะ ไม่ห่างกันนัก ก็ควรขี่เป็นเส้นตรงในอีกช่องทางเดินรถนอกแนวรถที่จอดออกมาจนหมดรถที่จอดจึงจะขี่เข้าไปอยู่ใกล้ขอบถนนอีก  การขี่วกเข้าหาขอบถนนและขี่วกออกไปอีกช่องทางเดินรถเมื่อไปถึงรถที่จอดขวางครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งมีคำที่ผมใช้เรียกว่า “ทำตัวเป็นนินจา” ผลุบๆโผล่ๆ นั้นอันตรายมาก คนที่ขับรถตามมาอาจไม่เห็นหรือเห็นไม่ทันที่จะหักหลีก  การแซงรถที่จอดควรให้สัญญาณมือและเริ่มเปลี่ยนทิศทางอย่างค่อยเป็นค่อยไป(จนเกือบใกล้จะเป็นการขี่แนวตรงเบนๆ มากที่สุด) ให้รถที่ตามมาเห็นแต่ไกล

และขอเพิ่มเติมอีกข้อว่าขี่จักรยานในเมืองควรใช้ความเร็วพอสมควรอย่าขี่เร็วมาก ยิ่งขี่เร็วก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่จะมีอันตราย ในขณะที่เราพยายามผลักดันให้มีการจำกัดความเร็วรถยนต์ในเมือง โดยเฉพาะในย่านชุมชน ลงมาอยู่ที่ 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมงตามมาตรฐานความปลอดภัยที่ใช้กันอย่างกว้างขวางในยุโรป เราก็ไม่ควรขี่จักรยานเร็วกว่านั้นเช่นกัน ความเร็ว 20-25 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็เพียงพอแล้ว

ทำตามกฎทั้ง 12 ข้อนี้ บวกกับเรื่องความเร็ว เราก็จะขี่จักรยานบนท้องถนนร่วมกับยานพาหนะอื่นๆ ได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น เสี่ยงน้อยลงอีกมากมาย  ขอให้มีความสุขเพลิดเพลินในการขี่จักรยานในเมืองนะครับ